Screen March 2008
โชฮยอนแจดูเป็นผู้ใหญ่กว่านักแสดงคน อื่นในรุ่นเดียวกัน และเขาก็ยังเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ฮยอนแจได้รับ บทนำในละครรักโรแมนติกมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเราได้เห็นเขาในภาพลักษณ์ผู้ชายใสซื่อและจิตใจดี แต่ในภาพยนตร์เรื่อง GP506 เขาพลิกบทบาทของตัวเองอย่างสิ้นเชิงมารับบทโหดๆ เป็นทหารผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเหตุการณ์ฆาตกรรมลึกลับ
Q: GP506 ต้องชะงักการถ่ายทำและใช้เวลา 10 เดือนจนกระทั่งปิดกล้อง คุณรู้สึกอย่างไรบ้างHJ: ดีใจครับที่การถ่ายทำลุล่วงไปได้ด้วยดี ผมมีความสุขมาก ส่วนเรื่องที่ต้องหยุดถ่ายทำไปนั้น ก็น่าเสียดายมากๆ
Q: ส่วนใดในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่คุณพอใจมากที่สุด
HJ: ตอนนี้บอกได้แต่ว่าหนังเรื่องนี้มีแต่ผู้ชายครับ (หัวเราะ) ธีมของเรื่องก็แบบผู้ชายมากๆ ผู้หมวดยู ตัวละครที่ผมเล่น จะเป็นคนที่คอยปิดบังความจริง ซึ่งจะสื่อออกมาในหลายๆแง่มุมด้วยกัน การถ่ายทอดอารมณ์ของหนังที่ดูลึกลับผ่านเนื้อหาที่ดูซับซ้อนเหล่านี้ล่ะครับ ที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่อง
Q: บทของผู้หมวดยูเป็นบทที่แตกต่างจากที่คุณเคยแสดงมามากที่สุดหรือเปล่า
HJ: หมวดยูเป็นคนที่อยากมีชีวิตอยู่มากกว่าใครทั้งหมด ยอมเห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอด แต่นั่นก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่เหรอครับหมวด ยูไม่สามารถแยกแยะระหว่างความดีและความเลวได้ เป็นคนที่อยู่ในความมืดและลึกลับ คอยปิดบังหลบซ่อน จะบอกว่าเป็นตัวละครที่ร้ายก็ได้ และคนดูอาจไม่พอใจกับการกระทำของตัวละครนี้ได้เหมือนกัน
Q: ในช่วงเวลา 10 เดือนที่คุณต้องแสดงอารมณ์ของผู้หมวดยู คุณคงรู้สึกเครียดและเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว
HJ: รู้สึกเหงาน่ะครับ เพราะผู้หมวดยูเป็นคนที่เก็บงำความลับไว้เพียงคนเดียวและติดต่อกับผู้ที่ เป็นเหยื่อเท่านั้น เลยทำให้ตอนถ่ายทำรู้สึกว้าเหว่มากจริงๆ การที่ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ตลอดก็เป็นสิ่งที่เครียดเหมือนกัน โชคดีที่ผมผ่านงานละครมาหลายเรื่อง เลยคุ้นเคยกับการที่ต้องซึมซับความเป็นตัวละคร ที่เราสวมบทบาทอยู่ พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆผมก็เริ่มกลายเป็นผู้หมวดยูมากขึ้น เริ่มพูดน้อยลงๆ ขนาดผู้กำกับเองก็ยังเป็นเหมือนกัน (หัวเราะ)
Q: ผู้กำกับกงสั่งหรือว่าขอร้องให้คุณแสดงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
HJ: ไม่มีนะครับ ปกติเราจะคุยกันไม่กี่คำ ผู้กำกับบอกแค่ว่า ‘ให้คิดและทำอะไรให้เหมือนหมวดยูมากที่สุด’ อาจมีตอนแรกๆที่จะอธิบายถึงลักษณะนิสัยของหมวดยู อธิบายบท และจะพูดถึงสถานการณ์โดยรวมๆ ซึ่งผมก็มีโอกาสได้คุยและบอกสิ่งที่ผมคิดไปด้วย
Q: ในฐานะนักแสดง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่คุณได้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง และคุณยังมีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งต่างๆอีกด้วย
HJ: ใช่ครับ ผมพยายามที่จะสื่อสารกับผู้กำกับเพื่อให้การแสดงของผมเป็นไปตามที่ผู้กำกับ ต้องการ แต่ผู้กำกับก็บอกให้ผมแสดงออกได้ตามสบาย อาจจะทำตามแค่ 70% ที่เขาต้องการก็พอแล้ว
Q: พอความลับของหมวดยูถูกเปิดเผยขึ้นในช่วงครึ่งหลังของภาพยนตร์ มันเป็นสิ่งที่ยากหรือเปล่าในการคุมอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของตัวละครตัวนี้
HJ: ผู้กำกับคิดว่า ประเด็นนี้เป็นส่วนที่เด่นที่สุดของผู้หมวดยูครับ ถ้าหนังเปิดเผยเรื่องราวออกมาช้าเกินไป อาจจะต้องอาศัยบทพูดที่ต้องสื่อสารมากขึ้น และอาจจะทำให้ความน่าตื่นเต้นของหนังลดลงไปด้วย ดังนั้นก่อนจะเข้าฉาก ผมก็ต้องพูดคุยกับผู้กำกับและซ้อมบทกันอยู่หลายครั้งทีเดียว
Q: อย่างที่คุณบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า GP506 ไม่มีตัวละครผู้หญิงเลย นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่หรือเปล่า
HJ: เวลาที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงตลอดก็รู้สึกดีนะครับ (หัวเราะ) แต่บางครั้งเวลาที่จะพูดอะไรออกไปก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะ เวลาคุยกับพวกเธอต้องพูดสุภาพน่ะครับ แต่ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรนัก เพราะเมื่อเริ่มสนิทกัน ก็จะรู้สึกสบายใจไปเอง เวลาที่กำลังถ่ายหนังอยู่ ผมเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ แต่พอเวลาเสร็จงานหรือว่าถ่ายทำแต่ละซีนจบ พอหันไปมองดูรอบๆแล้วถึงได้รู้ว่า ทำไมไม่มีใครยิ้มเลย นี่ละผมจึงเข้าใจว่า การมีนักแสดงหญิงก็เปรียบเสมือนมีดอกไม้อยู่ในกองถ่ายครับ เพราะเวลาพวกเธอพูดอะไรออกมา บรรยากาศในกองก็จะดูอบอุ่นขึ้นทันที แต่ว่าเรื่องนี้มันแห้งแล้งเหลือเกิน (หัวเราะ)
Q: ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการคุณมักจะมีผลงานอย่างน้อยปีละ 1 เรื่อง แต่ในปี 2007 ที่ผ่านมาเราไม่ได้ชมผลงานของคุณเลย
HJ: ตอนที่หนังต้องหยุดถ่ายทำไปประมาณ 4 เดือน ทางต้นสังกัดของผมเองอยากจะหางานใหม่ให้ครับ มันเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่เหมือนกัน เพราะถ้านับจากที่หนังเริ่มถ่ายทำอีกครั้งจนถึงปิดกล้องและออกฉาย ผมก็ไม่มีผลงานมาเกือบๆสองปีแล้วถึงจะเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ผมก็กังวลอยู่บ้างว่า ‘นี่เราไม่มีผลงานมานานแล้วนะ คนดูจะลืมเราไปแล้วหรือยัง? ’ ผมคิดอยู่เสมอว่า ‘ถ้าหนังถ่ายทำไม่จบจะทำยังไงดี’ แต่เป็นเพราะว่าตัวผมมีความเชื่อมั่น ในตัวผู้กำกับและภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ ผมเลยอยากที่จะทุ่มเทและมุ่งมั่นให้ภาพยนตร์ปิดกล้องให้ได้
ทุกๆครึ่งเดือนผู้กำกับมักจะพูดกับพวกเราว่า ‘ไม่ต้องกังวลนะ’ พวกเราก็จะตอบกลับไปว่า ‘ครับ’ และยังรอต่อไปซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปแล้ว สถานการณ์ตอนนั้นของผมลำบากมาก และเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับนักแสดงคนไหนเลย
Q: แล้วในช่วงสี่เดือนนั้น คุณทำอะไรบ้าง
HJ: ใช้ความคิดครับ คิดอะไรเยอะมาก และเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองคิดมาก ผมเลยไปปีนเขาบ่อยๆ หรือไม่ก็ขี่จักรยานประมาณวันละ 3-4 ชั่วโมง และผมยังไปที่ทันชอน บนเกาะยูอิโดอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะพยายามหาอะไรทำเยอะขนาดนี้ แต่ผมก็ยังคิดมากอยู่ดี
Q: แล้วปกติ คุณเป็นคนคิดมากหรือเปล่า
HJ: ถ้าตอนที่เริ่มเข้าวงการใหม่ๆ ก็ไม่นะครับ แต่พอหลังจากที่เริ่มผ่านงานแสดงจนถึงตอนนี้ก็เกือบจะ 9 ปีแล้ว แม้ว่าตัวผมจะคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่งานที่ได้รับก็เริ่มยากขึ้น มีอะไรให้คิดเยอะขึ้น แล้วก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้นด้วยครับ สมัยก่อนตอนที่ผมยังอายุน้อยๆอยู่ ไม่ว่าจะมีบทอะไรเสนอมาก็ตามทางต้นสังกัดของผมจะเป็นคนเลือกงานให้ แต่มาถึงตอนนี้คงจะให้คนอื่นเลือกให้ตลอดไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะเรื่องการแสดงถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผมเช่นเดียวกัน
Q: แล้วตอนนี้คุณมีเกณฑ์ในการเลือกบทอย่างไร
HJ: ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะเลือกจากตัวละครที่เสนอมาให้เล่นครับ แต่ตอนนี้ผมดูที่เนื้อเรื่องและงานโดยรวมมากกว่าถ้าเนื้อเรื่องดี แม้ว่าจะได้รับบทอะไรก็ตาม ผมก็ยอมเล่นอยู่ดี
Q: คุณอยากที่จะรับบทชายหนุ่มที่ภายนอกดูเข้มแข็ง เพราะคุณต้องการที่จะลบภาพลักษณ์ของตัวเองในละครเรื่อง Love Letter ออกไปหรือเปล่า
HJ: ผมดูเป็นแบบนั้นจริงๆเหรอครับ? จริงๆแล้วตอนที่บริษัทให้ผมรับบทเป็น แอนดริว ในเรื่อง Love Letter ก็ได้ผลตอบรับกลับมาดีมากเลยมีคนเสนอบทแบบนี้ให้ผมอีกเยอะ แต่อย่างที่เคยบอกผมอยากจะกำจัดภาพของแอนดริวทิ้งไปโดยหันมารับบทที่ดูเป็นผู้ชายเข้มแข็งขึ้นเพราะว่าผมอยากจะเล่นบทที่หลากหลายมากกว่าครับ ถ้ามีงานที่เนื้อหาดีๆ แล้วให้ผมไปรับบทแบบแอนดริวอีก ผมก็เล่นครับ
Q: จากละครเรื่อง Love Letter จนถึง ซอดงโย ในปี 2005 ทำให้ชื่อของโชฮยอนแจเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปละครเรื่องนี้ถือได้ว่า ทำให้คุณเปลี่ยนจากการเป็นไอดอลของวัยรุ่นมาเป็นนักแสดงเต็มตัวหรือเปล่า
HJ: ผมอายุประมาณ 26 ปีตอนที่เล่นเรื่องซอดงโย ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะตอนนั้นการที่ต้องรับบทนำในละครพีเรียดเมื่อ เราอายุแค่ประมาณยี่สิบกว่าๆเป็นอะไรที่เร็วมากครับ ก็เลยทำให้ผมกังวลและคิดมากด้วยว่าตัวเองจะทำได้ดีหรือเปล่า กับละครพีเรียดฟอร์มใหญ่แบบนี้ ถึงแม้ว่าผมจะมีประสบการณ์มาบ้างจาก Dae Mang (ปี 2002) และ Untold Scandal (ปี 2003) แต่ก็รับบทตัวรองเท่านั้น ไม่ได้มีความกดดันอะไรมากมาย แต่ตัวละครในเรื่องซอดงโยมีช่วงชีวิตที่ยาวนาน และยังเป็นกษัตริย์อีกด้วย เลยทำให้ผมค่อนข้างหนักใจมาก แต่ก็จริงนะครับที่บอกว่า ซอดงโยเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตการแสดงของผม
Q: ความคาดหวังหลังจากสองปีผ่านไป เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณจาก GP506 อีกเช่นเคยหรือเปล่า
HJ: แน่นอนครับ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า ผมเลือกเล่นเรื่องนี้เพราะเป็นภาพยนตร์ที่ผมชอบและทุ่มเทให้สุดตัวตัวละครก็จะตรงกันข้ามกับเรื่องที่ผ่านๆมา ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมากทีเดียว
Q: ตอนนี้ภาพยนตร์ใกล้จะเข้าฉายแล้ว คุณมีความหนักใจมากน้อยแค่ไหน
HJ: ความหนักใจมันก็แยกเป็นส่วนๆน่ะครับ (หัวเราะ) เอาไว้ถึงตอนที่ต้องหนักใจก่อนดีกว่า แต่ตอนนี้ผมคิดว่า น่าจะเป็นหนังที่ดีแน่นอนครับ
Thai Translation from Korean by nicam (johyunjaethailand)
source: everjohyunjae.co.kr
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น